skip to main
|
skip to sidebar
rucmlaw4.blogspot.com
นิติศาสตร์มหาบัณฑิต รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการจังหวัดเชียงใหม่ rucmlaw@hotmail.com
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณพ่อของ พี่น้อยยุวเรศ
นิติศาสตร์ราม-เชียงใหม่ รุ่น 4 ร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณพ่อของ พี่น้อยยุวเรศ
บทความที่ใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
นิติศาสตร์ ป.โท รุ่น 4
คลังข้อมูล
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วิทยบริการ จังหวัดเชียงใหม่
ตรวจผลการเรียน
แบบปกนำส่งรายงาน
คลังข้อมูล
รวมเสียงบันทึกการบรรยายและไฟล์เอกสารประกอบการศึกษา
ตรวจผลการเรียน
ผลสอบเป็นไงกันบ้าง...เข้าไปดูเลย..
แบบปกส่งรายงาน
คลิ๊กเลย
เว็ปไซค์กฎหมาย
board.ru.ac.th
jurisprudence
meechai
niti7r1.com
sakid
sittigorn
thaijustice.com
thailawtoday
นิติบางนารุ่น6
นิติราม ดอท คอม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
อาจารย์ภู.NET
เครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย
เว็ปไซค์กลุ่ม 9 (อร่าม ดวงจันทร์)
หากท่านไม่สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้กรุณาทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1.เข้าหน้าเว็ปไซด์ของ Hotmail
2.ลงชื่อเข้าใช้พิมพ์
rucmlaw@hotmail.com
3.พิมพ์รหัส master
4.ลงชื่อเข้าใช้
5.คลิ๊ก เพิ่มเติม
6.คลิ๊ก Skydrive
7.เลือกไฟล์ที่ต้องการ
เข้าหน้าเว็ป www.hotmail.com ลงชื่อเข้าใช้โดยพิมพ์ rucmlaw@hotmail.com รหัส master ลงชื่อเข้าใช้
เข้าสู่หน้า hotmail
คลิ๊ก เพิ่มเติม
คลิ๊ก Skydrive
เลือกไฟล์ที่ต้องการดาวน์โหลด
คำบรรยายวิชากฎหมายทะเล 28 พฤศจิกายน 2552
คำบรรยายวิชากฎหมายทะเล 28 พฤศจิกายน 2552
เมื่อวานนี้อาจารย์ได้พูดถึงที่มาของกฎหมาย 2 ฉบับ คือ เจนีวา 1958 กับ UNCLOS 1982 วันนี้ก็จะมาดูเนื้อหาสาระของแต่ละฉบับ เริ่มจาก เจนีวา 1958 ที่กำหนดให้มีทะเลอาณาเขต ถึงแม้ในตอนนั้นจะไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าให้เป็น 3 ไมล์ หรือ 12 ไมล์ เพียงแต่รัฐชายฝั่งสามารถไปกำหนดเองได้ การกำหนดทะเลอาณาเขตก็เพื่อความมั่นคงของรัฐชายฝั่ง หลักคือว่าในทะเลอาณาเขตนั้นรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย พูดง่ายๆ ทะเลอาณาเขตคือดินแดนของรัฐ กฎหมายทุกฉบับจะบังคับใช้ทั้งหมด
แต่การที่รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยในทะเลอาณาเขตนั้นมีข้อยกเว้น คือ การให้สิทธิเรือต่างๆ แล่นผ่าน ตามหลัก Innocent passed หรือสิทธิการผ่านโดยสุจริต ทำไมต้องให้สิทธิในการแล่นผ่าน ในเมื่อเป็นดินแดนของรัฐ ตามหลักดั้งเดิม คือ Mare liberlum ที่ถือหลักเสรีภาพในการเดินเรือ เมื่อเกิดทะเลอาณาเขตจึงไปขัดต่อหลักหลักเสรีภาพในการเดินเรือที่มีมาแต่ดั้งเดิม ดังนั้น สิทธิที่มีมาแต่เก่าก่อนนั้นจึงยังไม่อาจถูกขจัดไปได้โดยง่าย เขาจึงยังคงไว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นทะเลอาณาเขตที่มีอำนาจอธิปไตยก็ตามก็ต้องเปิดให้เรือต่างชาติแล่นผ่านได้ เพื่อแล่นตัดผ่านจากรัฐชายฝั่งไปยังรัฐอื่น หรือเพื่อเทียบท่ารัฐชายฝั่งนั้น แล้วแต่กรณี สิทธินี้ให้แก่ทุกรัฐเท่าเทียมกัน
เขตต่อเนื่อง เกิดขึ้น ใน เจนีวา 1958 รัฐชายฝั่งจะไม่มีอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) แต่จะมีสิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) คือมีสิทธิบางประการไม่ครบทุกประการ ถ้ามันมีครบทุกประการก็จะเรียกว่าอำนาจอธิปไตย แต่นี่มันไม่ครบ จึงเรียกว่า สิทธิอธิปไตย ซึ่งเป็นหลักจารีตดั้งเดิมตั้งแต่ ศตวรรษที่ 18 แล้วนำมาบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรใน เจนีวา 1958 ว่ารัฐชายฝั่งจะมีสิทธิเกี่ยวกับ ภาษีอากร รัษฎากร ตรวจคนเข้าเมือง การสุขาภิบาล อยู่ในเขตต่อเนื่อง แต่กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นๆ จะไม่สามารถเอามาใช้บังคับในเขตต่อเนื่องได้ นี่คือหลักการของต่อเนื่อง
ไหล่ทวีป ภายใต้ เจนีวา 1958 จะพูดถึงสิทธิอธิปไตยของรัฐชายฝั่งในตัวไหล่ทวีป คือพื้นดินใต้ทะเล ไม่เกี่ยวกับพื้นน้ำ รัฐชายฝั่งมีสิทธิในทรัพยากรในไหล่ทวีป 3 ประการ ได้แก่ แร่ธาตุ น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตติดอยู่กับที่
จากไหล่ทวีปก็จะมาสู่ทะเลหลวง ซึ่งภายใต้ เจนีวา 1958 ก็จะมีหลักเสรีภาพ อยู่ 4 ประการ ในเรื่องทะเลหลวงจะไม่พูดถึงสิทธิ แต่จะพูดถึงเรื่องเสรีภาพ อาจารย์เคยออกข้อสอบ ถามกว้างๆ ว่า รัฐต่างๆ จะมีอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย และเสรีภาพในทะเลอย่างไรบ้าง คำถามนี้จะต้องตอบเขตทุกเขต Zone ต่างๆ จะถามตามเจนีวา 1958 หรือ UNCLOS 1982 ก็แล้วแต่ ก็คือ Zone ต่างๆ เท่าที่มีอยู่ในสนธิสัญญานั้นๆ หลักการตอบคือ ตอบตาม Zone ต่างๆ และข้อยกเว้นมีว่าอย่างไร
ใน เจนีวา 1958 ทะเลหลวงจะพูดถึงเสรีภาพ คำว่ารัฐต่างๆ ไม่ได้หมายความเฉพาะแต่รัฐชายฝั่งเท่านั้น ยังหมายถึงรัฐที่ไม่มีทางออกทะเลด้วย (Land Lock State) ซึ่งก็มีสิทธิในการใช้เสรีภาพในทะเลหลวงด้วยเช่นกัน
เสรีภาพในทะเลหลวง 4 มี ประการ คือ 1.การเดินเรือ 2.การประมง 3.วางสาย ท่อ ใต้ทะเล และ 4.การใช้อากาศยานบินผ่าน ซึ่งเมื่อกี้ได้พูดถึงทะเลอาณาเขต การให้สิทธิรัฐแล่นผ่านในทะเลอาณาเขตนั้น ให้สิทธิเฉพาะการเดินเรือเท่านั้น ไม่รวมถึงอากาศยานด้วย เพราะฉะนั้น อากาศยานจะบินผ่านทะเลอาณาเขตหรือดินแดนของรัฐโดยพลการไม่ได้
ในกรณีที่เครื่องบินของเกาหลีเหนือ Korean Airline เที่ยวบินที่ 007 บินเข้าไปผ่านสหภาพโซเวียต โดนยิงตก ก็จะไปว่าเขาไม่ได้ เพราะคุณล้ำน่านฟ้า
และตอนที่อดีตนายกทักษิณไปเขมร ขาไปก็มีการอนุญาตบินผ่านโดยถูกต้อง ซึ่งยังไม่ทราบว่าใครเป็นใคร แต่ขากลับ ก็รู้แล้วว่าใครอยู่ในนั้น จะบินผ่านอีกก็ถูกปฏิเสธ แต่ถ้าบินผ่านเข้ามา เขาก็สามารถบินขึ้นไปบังคับให้ให้ร่อนลงจอดได้เลย แต่ถ้าคุณแล่นผ่านทะเลหลวง ก็ถือว่าอยู่นอกอำนาจอธิปไตยของรัฐ นี่คือหลัก เจนีวา 1958
ส่วน UNCLOS 1982 มี Zone เพิ่มขึ้นมาอีก คือ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ แต่ถ้าเรื่องความแตกต่างระหว่างเจนีวา 1958 กับ UNCLOS 1982 มันไม่ได้มีความแตกต่างเฉพาะแต่ Zone เท่านั้น ยังมีความแตกต่างอีกมากมายเลยทีเดียว
เช่น สถานภาพของรัฐหมู่เกาะ เป็นต้น และคำนิยามของคำว่า “เกาะ” ก็แตกต่างจากเดิม ตาม เจนีวา 1958 คือ ผืนดินที่มีน้ำล้อมรอบตลอดเวลาเป็นเกาะได้ แต่ UNCLOS 1982 ผืนดินอยู่เหนือน้ำ มีน้ำล้อมรอบตลอดเวลาก็อาจจะไม่ใช่เกาะ ที่จะมีทะเลอาณาเขตได้ เพราะ UNCLOS 1982 เพิ่มเติมว่า ต้องเป็นบริเวณที่มนุษย์สามารถไปยังชีพอยู่ได้ จึงจะเป็นเกาะที่จะมีทะเลอาณาเขตได้
ทีนี้จะมาดูว่าทำไมบาง Zone จึงเกิดขึ้นมา อย่างเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เกิดขึ้นมาใน UNCLOS 1982 การเปลี่ยนแปลงของ UNCLOS 1982 เปลี่ยนแปลงมาจากเจนีวา 1958 หลักการของทะเลอาณาเขตคงเดิม แต่ขอบเขตเปลี่ยนแปลงไป เพราะตามเจนีวา 1958 ทะเลอาณาเขต 3 ไมล์ หรือ 12 ไมล์ ก็ได้ ก็เลยเกิดเป็นปัญหาว่าความกว้างของทะเลอาณาเขตของโลกเรามีมาตรฐานไม่เท่ากัน คราวนี้กำหนดใหม่ เป็นที่ยอมรับแน่นอนว่าทะเลอาณาเขตมีระยะจากฝั่ง 12 ไมล์
จากทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ ก็เขตต่อเนื่อง จากหลักเดิมใน เจนีวา 1958 มี 12 ไมล์ พอมาถึง UNCLOS 1982 กำหนดใหม่ว่าเขตต่อเนื่องเมื่อรวมทะเลอาณาเขตแล้วไม่เกิน 24 ไมล์ ก็หมายความว่า เขตต่อเนื่องก็ 12 ไมล์แน่นอน
สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ Exclusive Economic Zone คือพื้นที่โดยเฉพาะของรัฐนั้นสำหรับการทำประมง Exclusive ก็เป็นของตนแต่ผู้เดียว Economic คือเศรษฐกิจ Zone คือเขต เขตเศรษฐกิจจำเพาะ จำเพาะใคร จำเพาะแต่รัฐชายฝั่งแต่ผู้เดียว ที่เรียกว่า Fishing Zone เพราะว่าเกิดจากแรงผลักดันของรัฐที่ต้องการจะมีบ่อปลาของตัวเอง
ในระยะแรกที่มีการใช้ เจนีวา 1958 ประเทศต่างๆ ยังไม่ตื่นตัวเรื่องประมง เพราะทรัพยากรภายในพื้นที่บนบกยังมีมากมาย แต่เมื่อรัฐต่างๆ พากันตื่นตัวเรื่องประมงจึงก่อให้เกิด Economic Zone
ตัวอย่างที่เห็น คือ สงครามปลาค็อด (Cod) การจับปลาค็อดในยุโรปจะจับตามชายฝั่งของ Iceland รอบๆ เกาะจะมีปลาค็อดชุกชุม Iceland มองว่าสินค้าหลักของประเทศมาจากการประมง ในเมื่อพื้นที่บนบกไม่มีทรัพยากรอะไรก็เลยมองจุดมุ่งหมายในการรักษากิจการประมงเอาไว้ให้ได้
ปัญหาคือมีประเทศต่างๆ หลายประเทศมาจับปลาค็อดโดยไม่ได้เข้าไปในทะเลอาณาเขตของ Iceland ๆ ก็เลยขยายเขตการประมง ซึ่งภายใต้ เจนีวา 1958 ไม่มีบัญญัติไว้ แต่ Iceland ขยายเขตการประมงออกไป 50 ไมล์ ไป 100 ไมล์ ไปถึง 200 ไมล์ ตามลำดับ แล้วบอกว่าประเทศ Iceland มีสิทธิแต่ผู้เดียวในการทำประมงบริเวณนี้ จึงกระทบต่อประเทศต่างๆ ที่เคยทำประมงมาแต่ดั้งเดิม เช่น เยอรมัน อังกฤษ โดยเฉพาะอังกฤษเกิดเป็นปัญหากระทบกระทั่งกัน ถึงขนาดทำสงครามทางทะเล
ในที่สุดก็นำคดีขึ้นสู่ศาล จากการพิจารณาคดีของศาล ศาลไม่ยอมชี้ ซึ่งจริงๆ เราจะเห็นว่า Iceland ละเมิดกฎหมาย เพราะไม่สามารถไปกำหนดขอบเขตเอาเอง แต่ศาลไม่ยอมชี้ เพราะศาลมองว่า มีแนวโน้มความต้องการกีดกันใช้ประโยชน์แต่ผู้เดียวและต่อไปจะต้องมีกฎหมายมารองรับในส่วนนี้แน่นอน ศาลมองว่าความอยู่รอดของ Iceland ขึ้นอยู่กับการทำประมงอย่างเดียว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า Iceland มีสิทธิการทำประมงดีกว่าอังกฤษ เพราะทะเลส่วนพิพาทนี้เป็นพื้นที่ต่อมาจากชายฝั่งของ Iceland ไม่ใช่เป็นทะเลหลวงซึ่งต่อมาจากชายฝั่งของอังกฤษ แต่สิทธิการประมงของอังกฤษก็ไม่เสียไป อังกฤษยังคงมีสิทธิการประมงตามประวัติศาสตร์ด้วย เพราะทำมาแต่ดั้งเดิม
จากกรณีสงครามปลาค็อด ก็มีสงครามปลาทูน่าใน USA ปลาทูน่าที่จับในเขตน้ำเย็นจะมีรสชาติดีกว่า แต่การจับปลาทูน่าของ USA นั้น ต้องไปจับที่อเมริกาใต้ แถวประเทศ ชิลี เปรู เอกวาดอร์ ซึ่งมีปลาทูน่าชุกชุม แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาใน ปี 1945 ที่มีการประกาศเขตไหล่ทวีปขึ้นมา ก็เกิดปฏิกิริยาจาก 3 ประเทศนี้ คือ เขาขยายอาณาเขตออกไป 200 ไมล์ ซึ่ง USA ไม่ยอมรับ USA ออกรัฐบัญญัติ Fisherman Protective Act ป้องกันให้แก่ชาวประมง ถ้าหากว่าในทะเลส่วนใดที่ USA ไม่รับรอง ถ้าชาวประมงไปถูกจับ USA จะต้องช่วยเหลือ ถ้าถูกจับจะต้องไปไถ่ตัวมา เมื่อชาวประมง USA เข้าไปจับปลาทูน่าในเขตที่ทั้ง 3 ประเทศประกาศ ก็เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันโดยตลอด แต่ไม่เกิดคดีขึ้นสู่ศาลเหมือนกับสงครามปลาค็อด
อันนี้เป็นกรณีของประเทศใหญ่ๆ และนอกจากนั้น ปัญหาข้อพิพาทการประมงก็มีมาโดยตลอด อย่างประเทศไทยเรา เป็นที่รู้กันว่ามีปัญหากับประเทศรอบบ้านทั้งหมดเลย เพราะว่าประเทศรอบบ้านเรานี้ไม่มีศักยภาพในการทำประมงเลย ประเทศไทยเราทำการประมงมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น รัฐที่ทำการประมงก็ต้องการพื้นที่กว้างๆ ส่วนรัฐที่ไม่ทำการประมงก็จะสงวนพื้นที่ไว้ นี่คือความต้องการของทั้งโลกเป็นเช่นนี้ จึงส่งผลให้กฎหมายทะเล คือ ถึงเวลาแล้วที่จะเกิด Economic Zone อันนี้คือสาเหตุประการหนึ่ง
สาเหตุประการที่2 Continental Shelf มีไหล่ทวีปทั้งทางธรณีวิทยา และไหล่ทวีปตามกฎหมาย ขอบเขตมันแตกต่างกัน ไหล่ทวีปเริ่มตั้งแต่ชายฝั่ง (Coast Line) ลาดเอียงลงไปจนถึงความลึกที่ 200 เมตร โดยประมาณ
ในเจนีวา 1958 บอกว่า ไหล่ทวีปเริ่มที่ปลายทะเลอาณาเขต ทำไมไม่เริ่มที่ชายฝั่ง ก็เพราะมันเป็นทะเลอาณาเขต รัฐใช้อำนาจอธิปไตยอยู่แล้ว ทุกประเทศที่มีไหล่ทวีปก็จะมีไหล่ทวีปมาจนถึงระดับความลึก 200 เมตร เหมือนกันหมด แต่ถ้ามันลึกเกินกว่า 200 เมตร ลงมานั้น จะตกเป็นไหล่ทวีปของรัฐนั้นๆ ได้ต่อเมื่อรัฐนั้นมีความสามารถในการสำรวจขุดค้น ขุดค้นได้ตรงไหนก็มีไหล่ทวีปได้ตรงจุดนั้น เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของรัฐ จึงก่อให้เกิดความแตกต่างกัน รัฐที่พัฒนาแล้วก็จะมีไหล่ทวีปกว้างกว่าเพราะมีเทคโนโลยี รัฐที่กำลังพัฒนาก็จะมีไหล่ทวีปเพียงแค่ ความลึก 200 เมตร เท่านั้น เพราะไม่มีเทคโนโลยี
เมื่อไหล่ทวีปไม่เท่ากันก็เกิดความไม่ยุติธรรมต่อประเทศทั้งหลายในโลก การประชุม UNCLOS 1982 ก็เลยยกเลิกไม่ให้ความสำคัญต่อไหล่ทวีป โดยนำเอา Economic Zone ขึ้นมาใช้แทน แทนที่จะให้รัฐชายฝั่งได้สิทธิเพาะทรัพยากรในไหล่ทวีป ส่วนที่อยู่เหนือไหล่ทวีป ไม่ได้เลย ก็เปลี่ยนใหม่ ในห้วงน้ำก็ได้ด้วย ตัวไหล่ทวีปเดิมก็ได้ด้วย ได้ไปทั้งการสำรวจขุดค้นทรัพยากรบนไหล่ทวีป
โดยที่ UNCLOS 1982 บัญญัติไว้ว่า ถ้ารัฐใดมีไหล่ทวีปไม่ถึง 200 ไมล์ จากชายฝั่ง ก็ให้รัฐนั้นยังคงมีไหล่ทวีปออกไปจนถึง 200 ไมล์ มันทำให้ไม่มีความหมายเลย คือ ถึงแม้รัฐใดจะไม่มีไหล่ทวีปอยู่เลย ก็ได้สิทธิของไหล่ทวีปซึ่งรวมอยู่ใน Economic Zone อยู่แล้ว แต่ถ้ารัฐใดมีไหล่ทวีปยาวเกินกว่า 200 ไมล์ ออกไป ก็ให้รัฐนั้นมีไหล่ทวีปออกไปได้อีกแต่ไม่เกิน 150 ไมล์ หรือ ไม่เกิน 350 ไมล์ ถัดจากชายฝั่ง
ส่วน Deep Area คือพื้นที่ก้นทะเลหลวง เป็นบริเวณพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยองค์การทะเลลึก สำหรับทรัพยากรที่ไม่มีชีวิตซึ่งอยู่ภายนอกเขตอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของรัฐ พวกแร่ธาตุต่างๆ รัฐต่างๆ จะนำมาใช้ประโยชน์โดยลำพังไม่ได้ เพราะตามหลักการแล้ว เป็น Common Heritage of Mankind จะต้องผ่านองค์การทะเลลึก
เมื่อเราเข้าใจ เจนีวา 1958 คืออะไร มีอะไร มีกี่ Zone และทำไม UNCLOS 1982 ต้องเปลี่ยนแปลง อย่างไรบ้าง คราวนี้เราจะเจาะลึก
การวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต หรือพูดง่ายๆ ว่า การกำหนดขอบเขตของทะเลอาณาเขต Zone แรกที่จะพูดถึง คือ ทะเลอาณาเขตวัดจากเส้นฐาน (Base Line) ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องเรียกว่าเส้นฐานปกติ (Normal Base Line) นั่นเอง เส้นฐานปกตินั้นมีมาแต่ดั้งเดิมก่อน เจนีวา 1958 เป็นจารีตประเพณี คือ ทุกคนยอมรับว่าการวัดทะเลอาณาเขตนั้น ให้วัดจากเส้นฐาน ซึ่งตอนนั้นไม่ได้เรียกว่าเส้นฐานปกติ เรียกว่า Base Line เฉยๆ ทีนี้เส้นฐานตอนเริ่มแรกนั้นให้อยู่ในแนวน้ำลด หรือจุดน้ำลงต่ำสุด (Low Water Mark, Low Water Line)
วิธีการหาจุดต่ำสุดอาจใช้ระยะเวลาคำนวณประมาณ 20 ปี มีวิธีการคำนวณ 2 วิธี วิธีแรกคือหาค่าเฉลี่ยในรอบ 20 ปี คืออาจไม่ใช่จุดต่ำสุดจริงๆ ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือเอาจุดต่ำสุดจริงๆ เมื่อได้จุดน้ำลงต่ำสุดแล้วรัฐต่างๆ ก็จะส่งแนวเส้นฐานไปให้องค์การเดินเรือระหว่างประเทศซึ่งจะเอาไปกำหนดในแผนที่การเดินเรือระหว่างประเทศให้รู้ว่าแนวเส้นฐานอยู่ตรงไหนเสร็จแล้วก็จะวัดทะเลอาณาเขตออกไปจากเส้นฐานนี้
ขอบเขตของทะเลอาณาเขตจากเส้นฐาน เราจะไม่พูดถึงเจนีวา 1958 แล้ว แต่จะพูดถึง UNCLOS 1982 เพราะมันหลักเหมือนกัน เมื่อได้จุดเส้นฐานแล้ว จะมีการลากเส้นขนานกับชายฝั่งแล้วจึงวัดความกว้างทะเลอาณาเขตออกมา เส้นฐานอยู่ในแนวน้ำลดตลอด เส้นฐานปกติถูกกำหนดไว้ในมาตรา 5 นิยามทะเลอาณาเขตอยู่ในมาตรา 2 ของ UNCLOS 1982
ขอบเขตของทะเลอาณาเขตกำหนดไว้ในมาตรา 5 ว่า การลากเส้นฐานปกติ ที่อยู่ในแนวน้ำลดนั้นมีว่าอย่างไรบ้าง ในภาพจะเห็นเส้นฐานลากปิดปากแม่น้ำลำคลอง ตามมาตรา 9 (Close Mouth River) ให้ลากปิด ณ จุดน้ำลงต่ำสุดของสองฟากฝั่งแม่น้ำลำคลอง เมื่อลากปิดแล้ว ผลที่เกิดขึ้น คือ แม่น้ำลำคลองกลายเป็นน่านน้ำภายใน
อ่าว (Bay) ภายใต้มาตรา 10 ของ UNCLOS 1982 การที่จะลากเส้นฐานปิดปากอ่าวได้นั้น ต้องดูคุณสมบัติก่อน คือ
1.เป็นอ่าว การเป็นอ่าวคือ ต้องเป็นห้วงน้ำตัดลึกเข้าไปในแผ่นดิน แต่ต้องมีรัฐใดรัฐหนึ่งรัฐเดียว ถ้ามีหลายรัฐ ก็ยังเป็นอ่าว แต่จะลากเส้นฐานปิดปากอ่าวไม่ได้
2.ต้องมีความกว้าง ไม่เกิน 24 ไมล์
3.พื้นที่ของอ่าวจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าพื้นที่ครึ่งวงกลม ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นเส้นลากปิดปากอ่าว
ถ้าพื้นที่อ่าวน้อยกว่าพื้นที่ครึ่งวงกลมก็ไม่สามารถลากเส้นฐานปิดปากอ่าวได้ ก็จะต้องลากเส้นฐานไปตามแนวความโค้ง (เว้า) ของอ่าวขนานกันไป ถึงแม้ในทางธรณีวิทยาจะเป็นอ่าว แต่มาตรา 10 จะไม่เป็นอ่าว ถ้าพื้นที่อ่าวมากกว่าพื้นที่ครึ่งวงกลม เมื่อมากกว่าก็สามารถลากเส้นปิดได้ ส่งผลให้อ่าวกลายเป็นน่านน้ำภายใน
สมมุติว่าพื้นที่อ่าว 100 ตารางเมตร พื้นที่ครึ่งวงกลม 100 ตารางเมตร เท่ากัน สามารถลากเส้นฐานปิดได้ แต่ถ้าพื้นที่อ่าว 90 ตารางเมตร พื้นที่ครึ่งวงกลม 100 ตารางเมตร น้อยกว่า ลากเส้นฐานปิดไม่ได้ หรือว่า พื้นที่อ่าว 100 ตารางเมตร พื้นที่ครึ่งวงกลม 101 ตารางเมตร มากกว่าตารางเมตรเดียวลากปิดได้ เพราะ เท่ากับหรือมากกว่า
ถัดมา Multi Mouth Bay อ่าวที่มีหลายปากอ่าว ตามภาพจะเกิน 24 ไมล์ ตาม UNCLOS 1982 ซึ่งเหมือน เจนีวา 1958 ให้วัดเป็นช่วงๆ ตามภาพ มีปากอ่าว 7 ไมล์, 5 ไมล์, 5 ไมล์, 5 ไมล์ เป็นช่วงๆ ทำให้มีปากอ่าวหลายปากอ่าว UNCLOS 1982 ให้ใช้ผลรวมของช่วงที่เป็นพื้นน้ำรวมกัน รวมกันได้ 22 ไมล์ เสร็จแล้วเอามาเป็นเส้นฐานคิดพื้นที่ครึ่งวงกลม พื้นที่อ่าวนั้นคิดทั้งหมดตั้งแต่เหนือจดใต้สุดเลย ส่วนพื้นที่ครึ่งวงกลมคิดเฉพาะ 22 ไมล์ เพราะฉะนั้น เส้นผ่านศูนย์กลางของครึ่งวงกลมกับความกว้างของปากอ่าวทั้งหมดจะต่างกันลิบเลย เท่ากับมันย่อส่วนลงมาเป็นครึ่งวงกลม เพราะฉะนั้น อ่าวที่มีหลายปากอ่าวจะได้เปรียบ
กรณีที่ความกว้างปากอ่าวเกิน 24 ไมล์ เพราะกฎหมายกำหนดสูงสุดไม่เกิน 24 ไมล์ ดังนั้น อ่าวใดที่มีความกว้างเกิน 24 ไมล์ ตามภาพความกว้างปากอ่าวสูงสุด 32 ไมล์ เราก็ต้องปรับ ลดลงมาให้มันไม่เกิน 24 ไมล์ แล้วคำนวณพื้นที่ครึ่งวงกลมเข้าไป ปรากฏว่าพื้นที่ทั้งหมดเกินกว่าครึ่งวงกลม ก็สามารถลากเส้นฐานปิดปากอ่าวได้
ตามภาพ กรณีเป็นอ่าวที่ไม่เข้าคุณสมบัติครบ 3 ประการ คือไม่มีเพียงรัฐเดียว แต่มีถึง 3 รัฐ เมื่อไม่มีเพียงรัฐเดียวเป็นเจ้าของอ่าวจึงไม่สามารถลากเส้นฐานปิดปากอ่าวได้ จึงต้องลากเส้นฐานไปตามแนวความโค้งของอ่าว ทำให้แนวทะเลอาณาเขตวกตามเข้าไปด้วย ถึงแม้จะเข้าคุณสมบัติประการต่อมา คือมี 18 ไมล์ เท่านั้น แต่ขาดคุณสมบัติข้อแรก จึงไม่สามารถลากเส้นฐานปิดปากอ่าวได้
มาตรา 10 มีข้อยกเว้น ถ้าเป็นอ่าวประวัติศาสตร์ ความกว้างของอ่าวจะเป็นเท่าใดก็ได้ จะเกิน 24 ไมล์ ก็ได้ หลักการของอ่าวประวัติศาสตร์ คือ มีรัฐเดียวตั้งอยู่ก่อน รัฐนั้นอ้างกรรมสิทธิ์ว่าตนเองเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว โดยปฏิบัติมาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ต้องเกินกว่า 20 ปี มีเหตุผลทางประวัติศาสตร์ว่าครอบครองมาแต่เริ่มแรกดั้งเดิม และเมื่อประกาศอ้างเป็นอ่าวประวัติศาสตร์แล้ว ไม่มีรัฐอื่นโต้แย้ง ก็เป็นอ่าวประวัติศาสตร์ได้ แต่ถ้าประกาศแล้วมีรัฐอื่นโต้แย้งก็ไม่ได้สิทธิเป็นอ่าวประวัติศาสตร์
อ่าวประวัติศาสตร์ที่เห็น คือ อ่าวเชคสเปียร์ อ่าวเดลาแวร์ และอ่าวไทยตอนใน เป็นต้น แต่อ่าวที่อ้างแล้วถูกโต้แย้ง เช่น อ่าเมาะตะมะ ของพม่า เกือบ 200 ไมล์ กับอ่าวไกด้า เกือบ 300 ไมล์ ก็ไม่ได้สิทธิเป็นอ่าวประวัติศาสตร์ สำหรับอ่าวประวัติศาสตร์ของไทยก็ลากเส้นฐานปิดปากอ่าวจากสัตหีบข้ามทะเลมาถึงชะอำ ความกว้างประมาณ 53 ไมล์ ทำให้บริเวณตั้งแต่หัวหิน พัทยา ทั้งหมดเป็นน่านน้ำภายใน
ต่อมา Pier คือสิ่งก่อสร้างจากชายฝั่ง มี ท่าเรือ สะพานปลา ถนนที่ยื่นเข้าไปในทะเล ปัญหาคือ ถ้า Pier อยู่ในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ ก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันล้ำออกไปนอก 12 ไมล์ บอกว่าให้รัฐชายฝั่งสามารถใช้จุดปลายสุดของ Pier วัดออกไปได้อีก 12 ไมล์ หลักคือ ให้ Pier อยู่ภายใต้เขตอำนาจอธิปไตยของรัฐ แต่ถ้าเกินออกไป ก็ต้องมีเขตต่ออีกเท่าตัว เพราะมันเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตยบริเวณนั้น
ตอนเจนีวา 1958 ทะเลอาณาเขต 3 ไมล์ มันมีส่วนที่ต่อไปในทะเลอาณาเขต มันล้ำออกนอก 3 ไมล์ เขาจึงกำหนดเอาไว้ เมื่อมาถึง UNCLOS 1982 ก็เป็น 12 ไมล์ ก็เอาถ้อยคำเดิมในเจนีวา 1958 มาใช้ว่าถ้ามันเกิดปัญหาเช่นว่ามานี้ ก็ให้มีทะเลอาณาเขตส่วนต่อไปอีกเท่าตัว
ข้อแนะนำการทำรายงาน
ข้อแนะนำการทำรายงาน
ในการจัดทำรายงานอย่างเป็นทางการนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีอยู่ 2 ข้อคือ ในส่วนของรูปแบบและในส่วนของเนื้อหา
ส่วนของเนื้อหา
เนื้อหาที่จะนำไปทำรายงานนั้นจะต้องผ่านการอ่านและวิเคราะห์เนื้อหา โดยผู้ทำรายงานก่อน (แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมาย บทความ บทวิจารณ์ ข่าว เอกสาร ตำราเรียน คำบรรยาย ฯ) ซึ่งมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการ(จุดมุ่งหมายในการทำรายงาน)
2. อ่านเอกสารหลายๆ เล่ม หลากหลายประเด็น อาจทำให้เกิดแนวคิดที่น่าสนใน
3. ไม่จำเป็นต้องอ่านเอกสารครบทุกตัวอักษร จับใจความในประเด็นสำคัญให้ได้
4. บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่อ่านเพื่อนำไปอ้างอิง
5. สรุปผลการอ่านและวิเคราะห์ให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
(ควรศึกษาตัวอย่างของรายงานที่ทำถูกต้องตามรูปแบบ และเป็นรายงานที่ได้รับการยอมรับว่ามีเนื้อหาที่ดี ถูกต้อง เพื่อเป็นตัวอย่างหรือเป็นแนวทางในการทำรายงาน)
บทที่ 1
บทนำ
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
กล่าวถึงลักษณะของปัญหาหรือประเด็นที่ทำการศึกษาในด้านความสำคัญ และสาเหตุความเป็นมาของเรื่องนั้น เป็นการนำเสนอแนวคิดและความจำเป็นที่ต้องวิจัยหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อาจเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ กฎหมาย แผนพัฒนา นโยบาย เหตุการณ์ และเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้น
2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา
กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ต้องการและสามารถหาคำตอบได้ ระบุเป็นข้อๆ เรียงตามลำดับความสำคัญ หรือความเป็นไปได้ในการดำเนินการ
2.1 เพื่อ (ศึกษาถึง...)
2.2 เพื่อ (ศึกษาถึง...)
2.3 เพื่อ (นำเสนอ...)
3. สมมติฐานของการศึกษา
กล่าวถึงความน่าจะเป็นของคำตอบที่ได้รับจากการศึกษา ให้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการศึกษา เป็นคำตอบที่น่าจะเป็นปัญหาของการศึกษา
4. ขอบเขตของการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาเนื้อหาต่าง ๆ ไว้ 3 ด้านคือ
- ศึกษาถึงแนวคิดทฤษฎี....
- ศึกษาถึง...... โดยศึกษาเฉพาะ....(เรื่องที่ทำการศึกษา) ที่แสดงให้เห็นถึง........(ปัญหา) ใน (เรื่อง...) ดังกล่าว
- ศึกษาถึงแนวทางในการ (แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ทำการศึกษา)
5. วิธีดำเนินการศึกษา
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลดังต่อไปนี้คือ
- แนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ งานวิจัย บทความที่เกี่ยวข้อง ทางด้าน(เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราทำการศึกษา)
- บทกฎหมายที่ที่เกี่ยวข้องอัน...(บอกถึงปัญหาด้านกฎหมายที่จูงใจให้ต้องศึกษาเรื่องนี้)
วิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง.........
สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อ.......... (หาแนวทาง)
สรุปและอภิปรายผล
- หลักการ แนวทาง (เกี่ยวกับปัญหาที่ทำการศึกษา)
- แนวทางในการ (เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้จากการศึกษา)
6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (ระบุประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา)
6.1 (ทำให้ทราบถึง)
6.2 (ทำให้ทราบถึง)
6.3 (ทำให้ได้แนวทาง.....)
บทที่ 2
หลักเกณฑ์ แนวความคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
(เป็นส่วนที่ผู้ทำการศึกษารายงานผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมด ซึ่งได้แก่ แนวความคิด ทฤษฎี การวิจัย ที่ผู้ศึกษาต้องศึกษาให้ละเอียด รอบคอบ และครอบคลุม ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกรอบแนวคิดในการทำการศึกษา การตั้งสมมติฐาน และการดำเนินการศึกษาในขั้นต่อไป การเขียนควรให้ผสมผสาน กลมกลืน ต่อเนื่อง และสัมพันธ์กันทุกส่วน ในการนำเสนอให้แยกเป็นตอนๆ ตามเนื้อหาที่เสนอ มีการอ้างอิงเอกสารที่นำมาใช้ )
บทที่ 3
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.
2.
บทที่ 4
บทวิเคราะห์และแนวทางแก้ไขปัญหา
วิเคราะห์และข้อมูลโดยนำหลักการ แนวคิด บทความ ข้อวิจารณ์ เหตุการณ์ กฎหมาย ทฤษฎี ฯ มาทำการสังเคราะห์ โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือลำดับเรื่องราว ให้เป็นขั้นเป็นตอน ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเรื่องที่ทำการศึกษา เปรียบเทียบหลักการ แนวความคิด กฎหมาย ทฤษฎี ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เห็นถึงข้อดีข้อเสีย เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น(นำข้อเสียมาปรับปรุงแก้ไข นำข้อดีมาพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น)
บทที่ 5
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สรุปหลักการ แนวทาง เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหาที่ทำการศึกษา
เสนอแนะแนวทางของปัญหาที่ได้จากการศึกษา (อาจนำเสนอเป็นข้อๆ)
บรรณานุกรม
(ศึกษารายละเอียดของการทำบรรณานุกรมจากเอกสารตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยแจกให้....และควรอ้างอิง เอกสาร ตำรา เว็ปไซด์ของอาจารย์ผู้สอนด้วย....................)
dddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddd
ภาคผนวก
(ถ้ามี ถ้าไม่มีก็ลบหน้านี้ทิ้งนะ)
[1]
[1]
รายงานที่ดีควรอ้างอิงเชิงอรรถประกอบในหน้าของรายงานที่มีการนำบทความ ความคิด ของผู้อื่นที่เรานำมาอ้างอิงในการทำรายงานด้วย
คลินิกกฎหมายระหว่างประเทศ
คลินิกกฎหมายระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
เว็ปไซค์น่าสนใจ
ลำดับเหตุการณ์รัฐประหาร
พุทธทาสศึกษา
ข้อมูลฐานความรู้
รวมเว็ปไซด์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
เรื่องแดงแดง
วินทร์ เลียววารินทร์
Relaxing
ฟังเพลงกัน
blogrank
TV Online
ผู้ติดตาม
เกี่ยวกับฉัน
rucmlaw4
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
คลังบทความของบล็อก
▼
2009
(8)
▼
พฤศจิกายน
(1)
ร่วมงานฌาปนกิจศพ คุณพ่อของ พี่น้อยยุวเรศ
►
สิงหาคม
(2)
►
กรกฎาคม
(1)
►
มิถุนายน
(3)
►
พฤษภาคม
(1)
►
2008
(1)
►
ตุลาคม
(1)
สมัครสมาชิก
บทความ
Atom
บทความ
ทุกความคิดเห็น
Atom
ทุกความคิดเห็น